ภาพจาก ลงทุนแมน
มาดูกันว่าแต่ละบริษัทเขาทำอะไร
1. Saudi Aramco เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ก่อตั้งขึ้นในปี 1933 ในชื่อ California-Arabian Standard Oil Company
ปัจจุบัน Saudi Aramco มีอายุกว่า 86 ปี
โดยบริษัททำธุรกิจด้านปิโตรเลียมครบวงจร
ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำอย่างการสำรวจและผลิตน้ำมันดิบ โรงกลั่นน้ำมัน
ไปจนถึงธุรกิจปลายน้ำอย่างปิโตรเคมี
จุดเด่นของ Saudi Aramco มีอะไรบ้าง?
ข้อแรกคือ
การมีกระแสเงินสดที่ดีมาก โดยในปี 2018 จ่ายเงินปันผลให้แก่รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย 1.8 ล้านล้านบาท
หรือประมาณ 50% ของกำไรสุทธิ และคาดว่าปี 2019 จะจ่ายเงินปันผลกว่า 2.3 ล้านล้านบาท
ข้อต่อมาคือ บริษัทนี้มีปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 260,000 ล้านบาร์เรล หรือ 22% ของปริมาณน้ำมันดิบสำรองทั้งโลก โดยมีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่วันละ 10 ล้านบาร์เรล หรือ 12% ของการผลิตน้ำมันดิบทั้งโลก และมีต้นทุนในการผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ 2.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในโลก เรียกได้ว่าถ้าราคาน้ำมันปรับตัวลงมากๆ บริษัทนี้น่าจะอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย
2. Berkshire Hathaway ในอดีตดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมสิ่งทอ
แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้โรงงานต้องปิดตัว
หลังจากนั้น Warren Buffett ก็ได้เข้าซื้อหุ้น
และบริษัทนี้ก็ได้กลายมาเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยลงทุนในบริษัทอื่นๆ
บริษัทที่ Berkshire Hathaway เข้าไปลงทุน
5 อันดับแรกในปัจจุบัน ได้แก่
- Apple
- Bank of America
- Coca-Cola
- Wells Fargo
& Co
- American Express
3. Apple บริษัทเทคโนโลยีที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก ด้วยโครงสร้างที่มีหลากหลายธุรกิจ ทั้ง iPhone Mac iPad Service Wearable ทำให้ Apple มีรายได้หลายช่องทาง และถึงแม้รายได้หลักของบริษัทอย่าง iPhone ที่ในตอนนี้ลดลงกว่า 12% เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา แต่รายได้จาก Service และ Wearable ก็เติบโตได้ดีจนถึงขนาดที่ทำให้รายได้โดยรวมไม่ลดลง จึงอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทนี้ถึงทำกำไรได้มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
4. ICBC ธนาคารสัญชาติจีนที่มีมูลค่าสินทรัพย์สูงที่สุดในโลก มีสาขาย่อยเปิดทำการอยู่แทบทุกทวีป ทั้งหมด 25 ประเทศ รวมถึงในประเทศไทยด้วย
5. Microsoft บริษัทเทคโนโลยีที่ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจโลกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ในทุกๆ การเปิดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คในการทำงาน 100 เครื่อง
จะพบว่าผู้คนใช้
Windows (Microsoft) 88 เครื่อง
Mac (OS) 9 เครื่อง
Linux 2 เครื่อง
และอื่นๆ อีก 1 เครื่อง
จะเห็นได้ว่า Microsoft ครอบครองระบบปฏิบัติการบนคอมพิวเตอร์มากกว่าคู่แข่งหลายเท่าตัว ใครที่คิดว่า Apple จะมาแทน Microsoft นั้น จริงๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ Apple เองเน้นคุณภาพ ทำให้ราคาของ Apple ยากที่ทุกคนจะเข้าถึงได้ (แต่ถึงจะมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย แต่กำไรก็มากกว่าเจ้าอื่น) ในทางกลับกัน Microsoft ผลิตสินค้าให้คนเข้าถึงได้ง่ายกว่า และที่น่าสนใจคือรายได้จาก Windows ที่ครองส่วนแบ่งมากขนาดนั้น คิดเป็นเพียง 17.7% จากรายได้ทั้งหมดของ Microsoft เท่านั้นเอง ส่วนรายได้หลัก 25.7% ก็คือ Microsoft Office ซอฟต์แวร์สำหรับทำงาน
6. China Construction Bank ธนาคารสัญชาติจีนเช่นเดียวกัน ถือเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีสาขาอยู่ในหลายประเทศ (ไม่มีในประเทศไทย) นอกจากนี้ยังเป็นธนาคารที่เปิดสาขาธนาคารแบบ “ไร้พนักงาน” เป็นแห่งแรกของจีนด้วย
7. JPMorgan Chase บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ให้บริการด้านการเงิน การธนาคาร การลงทุน และการบริหารทรัพย์สิน มีสกุลเงินดิจิตอลของตัวเองด้วย ชื่อว่า JPM Coin แต่สามารถใช้ในเครือข่ายปิดเฉพาะลูกค้าของ JPMorgan เท่านั้น
8. Alphabet บริษัทโฮลดิ้งของ Larry Page และ Sergey Brin ประกอบธุรกิจโดยเข้าไปถือหุ้นในบริษัทอื่นๆ และบริษัทที่ Alphabet ถือเป็นหุ้นหลักก็คือ Google search engine ที่ทั้งคู่เป็นคนสร้าง และรายได้หลักของ Alphabet 83% ก็มาจากค่าโฆษณาของ Google นั่นเอง
เขียน Maytiz
ข้อมูลจาก
ลงทุนแมน